มีผู้ถามคุณสุชีพ
ปุญญานุภาพ ในหนังสือ “คำตอบ: ปัญหาทางพระพุทธศาสนา เล่ม 2” ว่า
“ธรรมกายคืออะไร? ในฝ่ายมหายานมาในสูตรหรือคัมภีร์อะไร
ขอทราบประวัติสาวกยานและมหายาน”
|
คุณสุชีพตอบคำถามข้างต้นไว้ยาวมาก
ดังนี้
ธรรมกายคือกายธรรม คู่กับรูปกาย หรือกายที่เป็นวัตถุ หรือกายเนื้อ
คำ นี้ มีมาในพระสุตตันตปิฎก อัคคัญญสูตร (11/55/91)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คำว่า ธรรมกาย พรหมกายเป็นชื่อของตถาคต และในบางพระสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้เห็นเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา
ผู้นั้นเห็นธรรม (17/216/147)
ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า
พระพุทธเจ้ากับพระธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นี่เป็นเรื่องธรรมกายฝ่ายเถรวาท
คือ พระพุทธศาสนาที่นับถือกันในประเทศไทย
ส่วน ในฝ่ายมหายานแบ่งพระกายของพระพุทธเจ้าออกเป็น 3 คือ นิรมาณกาย
พระกายนิรมิต หรือพระกายเนื้อ ที่แสงดแสดงให้ปรากฏแก่มนุษย์ทั้งหลาย สัมโภคกายหรือพระกายแห่งความสุข
ธรรมกาย พระกายธรรม ซึ่งทางมหายานถือว่าสำคัญยิ่ง
เรื่อง ธรรมกายในฝ่ายมหายานนั้น ศาสตราจารย์วิง-สิต ชาน (Prof.
Wing-Tsit Chan) ได้เขียนชี้แจงในเรื่องตรีกายไว้ว่า
เรื่องตรีกายหรือกาย 3 ของมหายานเกิดขึ้นประมาณศตวรรษที่ 2 และมาเข้มข้นจริงจังขึ้นประมาณศตวรรษที่
5 แห่ง ค.ศ. (เทียบเท่าพุทธศตวรรษที่ 8 และที่ 11 ตามลำดับ)
เรื่องธรรมกายมีมา ในคัมภีร์มหายานหลายเรื่อง
ขออ้างโศลกในสัทธรรมปุณฑริกสูตร ฉบับอักษรเทวนาครี พิมพ์ที่กัลกัตตา อินเดีย ปี
1953 (พ.ศ. 2496ฉ ท้ายบทที่ 5 หน้า 101 ดังนี้
ผู้นั้นมีปัญญามาก ย่อมเห็นธรรมกายอย่างถี่ถ้วน ยานทั้ง 3 (สาวกยาน
ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตว์ยาน) ไม่มีเลยในศาสนนี้ มีแต่ยานเดียว (เอกยาน)
เท่านั้น
สุซูกิ อ้างข้อความในอวตังสกสูตร (ของมหายาน) ในหนังสือเรื่อง
สังเขปพระพุทธศาสนามหายาน (Outlines of Mahayana Buddhism) หน้า 223-4 ดังนี้ “ธรรมกาย
แม้จะแสดงตัวเองได้ในโลกทั้ง 3 แต่ก็เป็นอิสระจากความไม่บริสุทธ็
และความทะยานอยากทั้งหลาย..”
ส่วนประวัติสาวกยาน และมหายานนั้น เดิมมีเพียงเถรวาท
หรือพระพุทธศาสนาแบบที่ไทยเรานับถืออยู่นี้ ต่อมา เมื่อประมาณ พ.ศ. 100 ล่วงแล้ว
ภิกษุวัชชีบุตรแยกตัวไปเป็นมหาสังฆิกะ
และต่อมาเมื่อพัฒนาขึ้นเป็นมหายาน ก็มีการเรียกเถรวาทว่า หีนยาน
(ยานเลว ยานเล็ก) คือ นำสัตว์ให้หลุดพ้นได้น้อย มหายาน (ยานใหญ่)
นำสัตว์ให้หลุดพ้นได้มาก
เถรวาท หรือหีนยานเป็นสาวกยาน ยานสำหรับสาวก ส่วนมหายานเป็นโพธิสัตวยาน
ยานสำหรับผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของการแข่งขันกัน และพูดกดอีกฝ่ายหนึ่ง
แต่ในสัทธรรมปุณฑริกสูตรที่อ้างมาแล้ว ยุบเหลือเพียงยานเดียว คือ เอกยาน
|
คำตอบของคุณสุชีพดังกล่าวนั้น
เป็นหลักฐานอันดีที่จะชี้ให้เห็นว่า พุทธวิชาการได้ผลักองค์ความรู้ของพระปฏิบัติธรรมออกไปสู่
“ชายขอบ”
พุทธวิชาการเห็นว่า
ผลจากการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่เป็นความจริง (truth) ผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมเป็นการเพ้อฝันส่วนตัวของพระเหล่านั้น
คนถามคงจะได้ยินความมีชื่อเสียงของวิชาธรรมกาย
จึงอยากมาถามเพื่อได้ความแน่นอนในทางวิชาการ
คุณสุชีพก็ตอบไปดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น
ไม่ได้นำหนังสือที่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำเขียนเผยแพร่นับเป็น 10
เล่มเข้ามาเป็นเอกสารในการตอบคำถามด้วย
ที่ว่า
“หนังสือที่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำเขียนเผยแพร่”
นั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์เขียนขึ้นมาใหม่
แต่เป็นการเอาคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำมาเขียน
พุทธวิชาการทำเหมือนว่า
คำสอนของวิชาธรรมกายจำนวนหลายสิบเล่มนั้น ไม่มีตัวตน
ถ้าถามว่า
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”
ผมตอบได้ทันทีว่าในฐานะที่เป็นนักวิชาการด้วยคนหนึ่งว่า
นักวิชาการเชื่อเฉพาะองค์ความรู้จากทางตะวันตกว่า เป็นความจริง (truth) แล้วเท่านั้น องค์ความรู้จากแหล่งอื่นๆ ไม่จริงทั้งหมด
มีส่วนเป็นความจริงบ้าง
ส่วนนั้นก็ต้องรับรองได้ด้วยเหตุผลกับวิทยาศาสตร์ ถ้า 2 สิ่งดังกล่าวรับรองไม่ได้
องค์ความรู้อื่นๆ ไม่จริง
คุณสุชีพตอบคำถามว่า
“ธรรมกาย คือกายธรรม คู่กับรูปกาย
เป็นการแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้ากับพระธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ในพระสุตตันตปิฎก อัคคัญญสูตร (11/55/91) พระพุทธเจ้าตรัสว่า
คำว่าธรรมกาย พรหมกายเป็นชื่อของตถาคต และ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม (17/216/147)”
|
คุณสุชีพตอบได้เพียงเท่านี้
ซึ่งในความคิดของผม
ไม่ได้ประเทืองปัญญาคนถามเลย คนถามไม่ได้ความกระจ่างเลยว่า ที่คุณสุชีพตอบนั้น
หมายความว่าอย่างไร
กล่าวคือ
เข้าใจความหมายที่คุณสุชีพตอบมา แต่มันเป็นอย่างไรล่ะ จะทำอย่างไรล่ะ ไม่มีอยู่ในคำตอบของคุณสุชีพ
ในทางวิชาธรรมกายอธิบายไว้อย่างชัดเจน
เนื่องจากอยู่ในระดับพื้นฐานของวิชาธรรมกาย คือ แค่ฝึกวิชา 18 กายก็จะ “รู้”
และ “เห็น” เลยว่า
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรมเป็นอย่างไร
ธรรมะต่างๆ
นั้น มีลักษณะเป็นดวงกลมทั้งสิ้น สี ความละเอียด ขนาดจะแตกต่างกันไป
ความแตกต่างมีเป็น infinity
คือ นับไม่ถ้วน ไม่ต้องไปคำนึงถึง
ถ้าเทียบกับทางวิทยาศาสตร์ก็คือ
ความกว้างใหญ่ของอนันตจักรวาล ( multi-universe, multi-verse) ยกกำลัง infinity
นั่นแหละ สรุปว่า เราไม่รู้ว่า ความละเอียดและขนาดของดวงธรรมมีไปอีกเท่าไหร่
เด็กนักเรียนนี่
เมื่อสอนครั้งแรก ดวงธรรมของกายมนุษย์หยาบของเขาส่วนใหญ่จะเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ แต่เมื่อฝึกไปมากๆ
เข้า ดวงธรรมของกายมนุษย์หยาบจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เด็กบางคนบอกผมว่า ดวงธรรมของเขาใหญ่กว่าลูกฟุตบอล
ตอนที่เด็กนักเรียนคนนี้บอกผม
ผมสอนเขาไปเกือบ 2 ปีแล้ว (ไปสอนสัปดาห์เว้นสัปดาห์ สอนทั้งโรงเรียน
ชื่อโรงเรียนบ้านบุใหญ่ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา)
สำหรับดวงธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ใหญ่เท่าหน้าตักของพระองค์ ดังนั้น
ในท่าประทับนั่ง จึงดูเหมือนว่า พระพุทธองค์นั่งอยู่ในดวงธรรม
ถ้าใครปฏิบัติธรรมตามวิชาธรรมกายถูกต้อง
เมื่อเห็นดวงธรรมก็ต้องเห็นพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็ต้องเห็นดวงธรรม
จะเห็นได้ว่า
สายวิชาธรรมกายตอบปัญหาที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา
ผู้นั้นเห็นธรรม” ได้ชัดเจนที่สุด
คำตอบที่ดีกว่าพุทธวิชาการ
จนพุทธวิชาการทำไม่ได้ก็คือ มีผู้ปฏิบัติตามได้ เห็นได้ รู้ได้ เฉพาะตัวเองนี่ ทั้งสอนเอง
เป็นผู้ช่วยคนอื่นสอน จำนวนผู้เรียนเกิน 100,000 คนไปแล้ว (เป็นการนับซ้ำ ดังนั้น
ตัวนักเรียนจริงไม่ถึงแสน คือ สอนครั้งหนึ่งเราก็นับ 1 คน นักเรียนบางคนเราสอนเป็นสิบครั้ง)
วิทยากรของคุณลุงการุณย์
บุญมานุชที่สอนอยู่ในปัจจุบันนี้ มีประมาณร้อยกว่าคน
สำหรับที่ทางมหายาน
พยายามอธิบายเรื่อง “เอกยาน” ซึ่งคุณสุชีพเองไม่เข้าใจและตอบไม่ได้ด้วย
แต่พยายามจะตอบโดยไปยกคำพูดของท่านผู้โน้นมา ท่านผู้นี้มานั้น สายวิชาธรรมกายตอบได้ง่ายมาก
ในอนัตตจักรวาลนี้
พระพุทธเจ้ามีอยู่ 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายพระ/ภาคขาว ฝ่ายมาร/ภาคดำ
และฝ่ายเป็นกลาง/ภาคสีตะกั่ว
คนทุกคนเป็นคนของฝ่ายพระ
ดังนั้น ใจ/จิต/วิญญาณจึงใสทั้งหมด ภาคพระมีหน้าที่ส่งเสริมให้คนกระทำความดี
จนกระทั่งบารมีครบ 30 ทัศ ก็จะเป็นอะไรไปตามที่อธิษฐานไว้
คำว่า
“จะเป็นอะไร” ก็คือ พระอรหันต์สาวก
พระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าจักรพรรดิ
[ไม่ใช่จักรพรรดิอย่างนโปเลียน]
ภาคมาร
นั้น มีหน้าที่ทำให้คนกระทำความชั่ว จึงเอากิเลส ฯลฯ มายุยุงส่งเสริมให้มนุษย์ทำ ใจ/จิต/วิญญาณที่เดิมใสอยู่
ก็กลายเป็นดำ กลายเป็นสาวกของมาร
ภาคกลางก็ส่งเสริมให้คนไม่กระทำอะไร
ทั้งในทางบุญและทางบาป ให้อยู่เฉยๆ ว่างั้นเถอะ
ศาสนาเดิมของภาคพระก็คือ
วิชาธรรมกายนี่แหละ เป็นเอกยาน ยานเดียวเท่านั้น ที่จะพามนุษย์ไปนิพพานได้
มารท่านแทรกแซง
ยุแหย่ จนเกิดเป็นศาสนาอื่นๆ ขึ้น ในศาสนาพุทธเดียวกัน
ก็ยุแหย่ให้แตกแยกเป็นนิกายโน้น นิกายนี้
ทางฝ่ายมหายานนั้น
มีความรู้เรื่องนี้ดี จึงรู้เรื่อง “เอกยาน” แต่หาคนปฏิบัติไม่ได้แล้ว
จึงได้แต่ “รู้” เท่านั้น
โดยสรุป
ดวงธรรมของพระพุทธเจ้านั้น
กว้างเท่าหน้าตักของพระองค์ เมื่อเห็นดวงธรรมของพระองค์ ก็จะเห็นพระองค์ด้วย
พร้อมกัน
พระองค์จึงตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม”
วิชาธรรมกายเป็นวิชาเดียวของธรรมะภาคขาว
ทางมหายานจึงเรียกว่า “เอกยาน” แต่ธรรมะภาคมาร
ซึ่งมีหน้าที่ส่งเสริมให้คนทำความชั่ว เข้ายุยง แทรกแซงจนเกิดเป็นศาสนาอื่นๆ
และเกิดนิกายอื่นๆ ในศาสนาพุทธ
ใจ/จิต/วิญญาณ
ของคุณทุกคนจะ “ใส” มาแต่เดิม เพราะ คนทุกคนเป็นของธรรมะภาคขาว ธรรมะภาคมาร
นำความชั่วต่างๆ มาใส่ให้ และยุยงให้คนกระทำความชั่ว ใจ/จิต/วิญญาณจึงมีสีออกไปทางดำ
จนถึงดำสนิท
เมื่อ
ใจ/จิต/วิญญาณ มีสีดำสนิท ก็จะกลายเป็นสาวกของมารเต็มตัว ตัวอย่างในโลกนี้
ในเมืองไทยนี้ก็มีให้เห็น
ยกตัวอย่างต่างชาติดีกว่า
ปลอดภัย เช่น ซัดดัม ฮิตเลอร์ เป็นต้น คนไทยก็นึกเอาเองว่าเป็นใคร ไอ้ที่ทำให้สังคมไทย
แตกแยก เกิดความวุ่นวายไปทั่ว ก็นั่นแหละ....